เมื่อเข้าสู่ปี 2025 การออกแบบกราฟิกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสวยงามอีกต่อไป แต่กลายเป็น เครื่องมือสำคัญที่สร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ เทรนด์ใหม่ๆ ไม่ได้มีเพียงแค่การสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และวัฒนธรรมที่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
การเข้าใจเทรนด์ในปี 2025 จะช่วยให้แบรนด์เล็ก หรือใหญ่ สร้างความแตกต่าง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง
เว็บไซต์ Vistaprint และ Depositphotos เผยเทรนด์การออกแบบกราฟิกในปี 2025
ในบทความนี้ เราจะเปิดเผยเทรนด์ที่น่าจับตามองในปี 2025 ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในธุรกิจ หรือการออกแบบของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สี การผสมผสานองค์ประกอบแบบไม่สมมาตร หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มมิติในงานออกแบบ
1. Mismatched and Bright
เทรนด์ Mismatched and Bright เน้นการจับคู่สี และองค์ประกอบที่ดูเหมือนขัดแย้ง แต่กลับทำให้เกิด ความสดใหม่ และ ดึงดูดสายตา รวมถึงการผสมผสานองค์ประกอบที่สดใสและคาดไม่ถึง สำหรับแบรนด์เล็กๆ
เคล็ดลับในการนำไปใช้:
- ใช้ พาเลตต์สีสดใส เช่น ชมพูบานเย็น เขียวมะนาว และน้ำเงินไฟฟ้า เพื่อดึงดูดสายตา
- ทดลองสร้างงานที่คาดไม่ถึง เช่น การผสมกราฟิก 2D กับพื้นหลัง 3D
- ใช้ฟอนต์ที่มีบุคลิกเฉพาะ แม้จะดู “ไม่เข้ากัน” แต่ช่วยเพิ่มความสนุก
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์แฟชั่นวัยรุ่น
- สื่อโซเชียลหรือคอนเทนต์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์สนุกสนาน
2. Structured Scrapbook
เทรนด์ Structured Scrapbook เป็นการผสมผสานเสน่ห์แบบ DIY เข้ากับงานออกแบบดิจิทัล ความยืดหยุ่นในการออกแบบช่วยให้คุณสร้างงานที่ดูจับต้องได้ และเป็นส่วนตัว แต่ยังคงดูเป็นมืออาชีพ โดยการผสมองค์ประกอบต่างๆ เช่น คอลลาจ ภาพวาดมือ พื้นหลังมีเท็กซ์เจอร์ และความย้อนยุค
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้ องค์ประกอบแบบคอลลาจ ที่รวมภาพถ่ายจริง ข้อความเขียนมือ และพื้นหลังมีเท็กซ์เจอร์
- เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นด้วยองค์ประกอบที่ดู “จับต้องได้” เช่น รอยฉีก รอยพับ หรือรอยเทป
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่เล่าเรื่องราว เช่น แบรนด์ท่องเที่ยว งานศิลปะ หรือร้านขายสินค้าแฮนด์เมด
3. Nostalgic Networks
เทรนด์ Nostalgic Networks ได้รับแรงบันดาลใจการนำความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตยุคแรกมาปรับใช้ เช่น ฟอนต์พิกเซล รูปแบบเว็บไซต์ HTML ยุค 90s
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้สีที่มีความ “เรโทร” เช่น สีม่วงอ่อน สีเขียวมิ้นท์ และส้มสดใส
- เลียนแบบสไตล์กราฟิกเก่า เช่น ปุ่ม 3D สไตล์ Windows 98 หรือกรอบเว็บไซต์ที่ดูเรียบง่าย
เหมาะสำหรับ:
- กลุ่มเป้าหมาย Gen Z และ Millennials ที่มีความผูกพันกับเทคโนโลยียุคเก่า
4. Etches and Imprints
เทรนด์ Etches and Imprints เน้นการออกแบบการสร้างความรู้สึกของพื้นผิวที่สัมผัสได้ เช่น การแกะสลักไม้ โลหะ หรือผ้า เทรนด์นี้สื่อถึงความเป็นงานฝีมือ และความจริงใจ
เหมาะสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาแบรนด์ที่มีความโปร่งใสและมีความเชื่อมโยงกับวัสดุธรรมชาติ
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- เพิ่มเอฟเฟกต์ร่องรอยในงานออกแบบดิจิทัล เช่น การจำลองลายนูนบนโลโก้
- ใช้ภาพพื้นหลังที่มีลวดลายธรรมชาติ เช่น รอยไม้ หรือลายหิน
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่เน้นความยั่งยืนและงานฝีมือ เช่น แบรนด์สินค้าออร์แกนิก
5. Childlike Textures
เทรนด์ Childlike Textures เน้นการออกแบบที่นำเอาความสดใส ความเรียบง่าย และความจริงใจแบบเด็กๆ มาสร้างเป็นงานศิลปะ โดยใช้พื้นผิวที่ดูเป็นธรรมชาติและ “ไม่สมบูรณ์แบบ” เช่น ลวดลายลายมือวาด เส้นสีดินสอ หรือการลงแปรงที่ไม่เรียบเนียน ความไร้เดียงสาในงานออกแบบนี้จะช่วยสร้าง ความอบอุ่น และ ความเป็นกันเอง
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้ พื้นผิวดิบ เช่น ลายเส้นสีไม้ที่ไม่สมบูรณ์ ลายแปรงสี หรือภาพวาดมือ เพื่อเพิ่มความรู้สึกของการสร้างสรรค์ด้วยมือ
- เลือกโทนสีที่ดูสนุกสนาน เช่น สีพาสเทล หรือสีที่มีความสดใสเล็กน้อย แต่ไม่ดูฉูดฉาดเกินไป
- ผสมผสานองค์ประกอบที่ดู “ธรรมดา” เช่น ภาพลายเส้น หรือข้อความที่ดูเหมือนเขียนด้วยมือ
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่เน้นความอบอุ่น และสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มครอบครัว เช่น แบรนด์สินค้าเด็ก หนังสือนิทาน หรืออุปกรณ์การเรียน
- สินค้าที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ และงานสร้างสรรค์ เช่น ร้านขายอุปกรณ์วาดภาพ หรือแบรนด์สินค้า DIY
- ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเสนอความจริงใจ และความเป็นกันเองผ่านงานออกแบบ
6. Contemporary Nouveau
เทรนด์ Contemporary Nouveau คือการนำความงดงามเหนือกาลเวลาของ Art Nouveau มาผสมผสานกับการออกแบบแบบมินิมอลในยุคใหม่ โดยใช้เส้นโค้ง ลวดลายธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ พืชพันธุ์ หรือรูปทรงน้ำไหล แต่ปรับให้เรียบง่ายและร่วมสมัย เทรนด์นี้เน้น ความหรูหรา แต่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ผสมผสาน เส้นโค้ง และลายธรรมชาติ ลงในกราฟิก เช่น ลายดอกไม้ เส้นน้ำไหล หรือลวดลายที่ดูอ่อนช้อย
- ใช้โทนสีที่สื่อถึงความหรูหรา เช่น สีทอง สีมุก สีเขียวมรกต หรือสีชมพูโรสโกลด์
- สร้างสมดุลระหว่างองค์ประกอบที่ซับซ้อน (ลายเส้นและลวดลาย) และพื้นที่ว่าง เพื่อไม่ให้ดูแน่นเกินไป
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่หรูหรา และประณีต เช่น แบรนด์เครื่องประดับ สินค้าลักซ์ชัวรี หรือสินค้าแฟชั่น
- การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องการสร้างความรู้สึกวินเทจร่วมสมัย เช่น บรรจุภัณฑ์น้ำหอม หรือไวน์
- งานออกแบบที่ต้องการแสดงความซับซ้อนแต่เข้าถึงง่าย เช่น เว็บไซต์งานศิลปะ นิทรรศการ หรือโปสเตอร์
7. Rewilding Design
เทรนด์ Rewilding Design เป็นการออกแบบที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ โดยนำแรงบันดาลใจจาก ป่าไม้ ท้องฟ้า และโลกธรรมชาติ มาสร้างงานออกแบบที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสะท้อนถึงการตระหนักเรื่องความยั่งยืนในกระบวนการผลิต
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้ โทนสีธรรมชาติ เช่น สีเขียวของป่า สีฟ้าของท้องฟ้า สีเทาของหิน หรือสีน้ำตาลของดิน เพื่อสื่อถึงธรรมชาติ
- เลือกใช้ วัสดุที่ยั่งยืน และนำลวดลายธรรมชาติเข้ามาในงาน เช่น การใช้ภาพใบไม้ ก้อนหิน หรือรอยน้ำฝน
- สร้างความดิบ และเรียบง่าย เช่น การใช้พื้นผิวหยาบ หรือการออกแบบที่ไม่เน้นความสมบูรณ์แบบ
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่ต้องการสร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เช่น แบรนด์สินค้าออร์แกนิก สินค้าด้านเกษตร หรือเครื่องสำอางจากธรรมชาติ
- การออกแบบที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น โปสเตอร์เกี่ยวกับการรักษ์โลก หรือโครงการปลูกป่า
- งานออกแบบที่ต้องการสะท้อนความดิบ และเรียบง่าย เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ดูเรียบแต่มีเอกลักษณ์
8. Not Quite Minimalism
เทรนด์ Not Quite Minimalism เป็นการท้าทายความเรียบง่ายแบบดั้งเดิม ด้วยการเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ ในความเรียบง่าย เช่น การใส่ลวดลายซ่อนหรือการจัดวางที่ไม่สมมาตร เทรนด์นี้มุ่งสร้างสมดุลระหว่างความเรียบง่ายกับการเพิ่มลูกเล่นที่ช่วยสร้างบุคลิกให้การออกแบบ เช่น การเพิ่มพื้นผิวหรือลวดลายเล็กๆ ที่ทำให้งานดูอบอุ่นและเข้าถึงง่าย
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- เพิ่มองค์ประกอบแบบไดนามิก เช่น เส้นสายที่ไม่สมบูรณ์
- ใช้ฟอนต์หรือไอคอนที่มีลูกเล่น เพื่อดึงดูดสายตา
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่ต้องการภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพ
9. Functional and Serene
เทรนด์ Functional and Serene เน้นการออกแบบที่ เรียบง่าย แต่ ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมสร้าง ความสงบทางอารมณ์ การจัดวางองค์ประกอบไม่ซับซ้อน เน้นประสบการณ์ผู้ใช้ที่สะดวก และสบายตา
เทรนด์นี้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย ใช้งานได้จริง และสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้โทนสีที่สื่อถึงความสงบ เช่น สีเบจ สีฟ้าพาสเทล หรือสีเขียวอ่อน เพื่อสร้างความผ่อนคลาย
- เลือกใช้ฟอนต์เรียบง่ายที่อ่านง่าย เช่น Sans-serif พร้อมเพิ่มระยะช่องว่างเพื่อให้รู้สึกโล่ง
- การออกแบบอินเทอร์เฟซ (UI) ควรเน้นฟังก์ชันที่จำเป็นเท่านั้น ลดความซับซ้อน และสร้างประสบการณ์ที่ลื่นไหล
- ใช้ภาพพื้นหลังที่สื่อถึงธรรมชาติ เช่น ทุ่งหญ้าหรือท้องฟ้า เพื่อเสริมอารมณ์ความสงบ
เหมาะสำหรับ:
- การออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สบู่ หรือชาออร์แกนิก ที่ต้องการถ่ายทอดความผ่อนคลาย
- เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันด้านสุขภาพจิตหรือสมาธิ เช่น แอปที่ช่วยนั่งสมาธิ
10. The Evolution of AI
เทรนด์ AI ที่ก้าวล้ำ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกกระบวนการออกแบบ โดยช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงงานได้รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล และช่วยลดต้นทุน
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ทดลองสร้างสรรค์ไอเดียด้วย AI เช่น การออกแบบโลโก้ การสร้างภาพพื้นหลัง หรือการเลือกชุดสีที่เหมาะสม
- ใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างคอนเทนต์เฉพาะบุคคล เช่น โฆษณาที่ปรับแต่งให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่เน้นการนำเสนอเทคโนโลยี เช่น ธุรกิจ SaaS (Software as a Service) หรืออุตสาหกรรมการตลาดออนไลน์
- แบรนด์เล็กๆ ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
11. The New Contemporary
เทรนด์ New Contemporary นำเสนอมุมมองใหม่ในงานออกแบบที่ผสมผสานความเรียบง่าย ความสร้างสรรค์ และความยืดหยุ่น ด้วยการผสมผสานองค์ประกอบของความมินิมอล สไตล์โมเดิร์น และกลิ่นอายแห่งอนาคต
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- เลือกใช้สีโทนโมเดิร์น เช่น สีเทา สีเขียวมิ้นท์ หรือชมพูหม่น และผสมกับวัสดุ หรือพื้นผิวที่ดูมีชีวิตชีวา
- สร้างดีไซน์ที่เหมาะกับการใช้งานบนหลายแพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ที่ตอบสนองได้ดีทั้งในมือถือ และคอมพิวเตอร์
- ผสมผสานลวดลายเรขาคณิตแบบเรียบง่าย เข้ากับความลื่นไหลของเส้นสายเพื่อสร้างความสมดุล
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์เทคโนโลยีที่ต้องการความทันสมัยและตอบโจทย์หลากหลายกลุ่มเป้าหมาย
- การออกแบบเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันที่เน้นความง่าย และความหรูหราในเวลาเดียวกัน
12. Cluttercore
เทรนด์ Cluttercore คือการเฉลิมฉลองความยุ่งเหยิงที่สวยงาม และสร้างสรรค์ ด้วยการออกแบบที่เต็มไปด้วยลวดลาย สีสัน และพื้นผิวผสมผสานกันอย่างซับซ้อน สร้างภาพที่สะท้อนความเป็นตัวตน และเล่าเรื่องราว
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ผสมผสานองค์ประกอบที่หลากหลาย เช่น สีสด พื้นผิวที่ซับซ้อน และการจัดเรียงองค์ประกอบที่ดู “ยุ่งเหยิง” แต่มีจังหวะที่น่าสนใจ
- สร้างความรู้สึก “บ้านๆ” หรืออบอุ่นด้วยการใช้วัสดุที่ให้ความรู้สึกจับต้องได้ เช่น ลายทอผ้า รอยปะ หรือคอลลาจ
- ใช้สีที่หลากหลาย แต่ควรมีสมดุล เพื่อไม่ให้ดูรกจนเกินไป
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์แฟชั่นหรือศิลปะที่ต้องการเน้นความเป็นตัวตน และเรื่องราว
- ธุรกิจในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ร้านเสื้อผ้าแฮนด์เมด หรือร้านกาแฟ
13. Getting Sentimental
เทรนด์ Getting Sentimental เน้นสร้างความรู้สึกอบอุ่น เชื่อมโยงอารมณ์ และเรื่องราวส่วนตัวในงานออกแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่อยากรู้สึกถึงความใกล้ชิด และความจริงใจ เล่าเรื่องราวผ่านการออกแบบที่ดึงดูดอารมณ์ เช่น งานย้อนยุค หรือดีไซน์ที่เน้นความทรงจำ เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้า
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้โทนสีที่ดูนุ่มนวลและอบอุ่น เช่น โทนสีพาสเทล หรือสีที่สะท้อนความทรงจำ
- เลือกฟอนต์ที่ให้ความรู้สึกส่วนตัว เช่น ฟอนต์ลายมือ หรือฟอนต์ที่ดูย้อนยุค
- ออกแบบที่เล่าเรื่อง เช่น ใช้ภาพถ่ายเก่า โปสการ์ด หรือองค์ประกอบที่สะท้อนความทรงจำในอดีต
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่ต้องการเล่าเรื่อง เช่น ธุรกิจร้านอาหารที่มีประวัติยาวนาน หรือร้านขายของที่ระลึก
14. AI-Fueled Art
เทรนด์ AI-Fueled Art เป็นการใช้ AI ในการสร้างงานศิลปะที่ไม่ซ้ำใคร ช่วยให้เกิดความหลากหลายในไอเดีย และความเร็วในการสร้างงานที่โดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้ AI เพื่อสร้างภาพที่มีความนามธรรม หรือดีไซน์กราฟิกที่มีความซับซ้อนสูง
- ทดลองสร้างองค์ประกอบที่ไม่เหมือนใคร เช่น พื้นหลังแบบใหม่ หรือไอคอนสำหรับแบรนด์
- ใช้ AI เพื่อทำให้กระบวนการออกแบบเร็วขึ้น เช่น การสร้างลวดลายหรือชุดสี
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่เน้นนวัตกรรม เช่น ธุรกิจเทคโนโลยี หรือแฟชั่นที่ต้องการความล้ำสมัย
- นักออกแบบที่ต้องการทดลองไอเดียใหม่ๆ แบบไร้ข้อจำกัด
15. Crafted Harmony
เทรนด์ Crafted Harmony เน้นการสร้างงานออกแบบที่สมดุล เชื่อมโยงกัน และให้ความรู้สึกตั้งใจสร้าง ทั้งสี พื้นผิว และฟอนต์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าทุกองค์ประกอบเชื่อมโยงกัน
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- เลือกใช้สีที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น โทนสีเอิร์ธโทน หรือสีพาสเทลที่นุ่มนวล
- ผสมพื้นผิวแบบเรียบ และแบบมีเท็กซ์เจอร์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความหลากหลายในงาน
- ใช้ฟอนต์ที่เรียบง่าย แต่จับคู่กับกราฟิกที่ซับซ้อน เพื่อสร้างจุดสนใจ
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่ต้องการสื่อถึงงานฝีมือ ความตั้งใจ และความละเอียด เช่น งานเซรามิก หรือสินค้าทำมือ
16. Embracing the Dark
เทรนด์ Embracing the Dark เน้นการใช้โทนสีเข้ม เช่น ดำ น้ำเงินเข้ม เทาเข้ม หรือเขียวเข้ม เพื่อสร้างความรู้สึกลึกลับ หรูหรา และมีระดับ และเน้นรายละเอียด เช่น เงา พื้นผิว และฟอนต์ที่โดดเด่น ซึ่งทำให้ดูน่าสนใจแม้ใช้โทนสีมืด
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- เพิ่มความลึกด้วยการใช้เงาและไฮไลต์ในจุดสำคัญ
- ใช้พื้นผิวที่สะท้อนแสง เช่น เมทัลลิก หรือพื้นผิวที่มีความมันวาว เพื่อสร้างความโดดเด่น
เหมาะสำหรับ:
- แบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์หรูหรา เช่น แบรนด์แฟชั่น หรือเครื่องประดับ
17. Look from Above
เทรนด์ Look from Above นำเสนอการออกแบบด้วยมุมมองจากด้านบน (bird’s eye view) เช่น การถ่ายภาพมุมสูงที่เน้นความสมมาตร และการจัดวางองค์ประกอบ
เคล็ดลับในการนำมาใช้:
- ใช้เทคนิคการจัดวางที่ดูสมมาตร เช่น การถ่ายภาพอาหาร การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ หรือผลิตภัณฑ์
- สร้างความลึกในงานด้วยการใช้เงา และแสงที่เข้ากัน
- แบรนด์แฟชั่น อาหาร และงานออกแบบภายใน ที่ต้องการเน้นรายละเอียด และความประณีต
เหมาะสำหรับ:
- แฟชั่น อาหาร การออกแบบภายใน และไลฟ์สไตล์ ที่ต้องการเน้นรายละเอียดสินค้า และบริการอย่างมีเอกลักษณ์
บทสรุป
ปี 2025 เป็นยุคที่การออกแบบกราฟิกไม่ได้หยุดอยู่ที่ความสวยงาม แต่เป็นการเล่าเรื่อง สร้างอารมณ์ และ สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจและเลือกเทรนด์ที่เหมาะสมกับแบรนด์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น และเข้าถึงใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง
หากคุณต้องการคำปรึกษาจากมืออาชีพ ติดต่อเรา MEGA PRODUCTIONS ได้เลย! เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ และให้บริการในด้าน Creative Design, Booth Exhibition และ Event Organizer ด้วยทีมงานมืออาชีพ มีความชำนาญ และใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด พร้อมให้บริการ และดูแลลูกค้าทุกขั้นตอนจนจบงานให้เรียบร้อย “เพราะความสำเร็จของคุณ คือความสำเร็จของเราเช่นกัน”
ขอบคุณข้อมูลจาก: red-website-design.co.uk/