จบงาน…แต่โอกาสไม่จบ!!! 5 สิ่งสำคัญที่มือโปร ต้องไปต่อหลังจบงานบูธ

จบงาน…แต่โอกาสไม่จบ!!! 5 สิ่งสำคัญที่มือโปร ต้องไปต่อหลังจบงานบูธ

แม้ว่าการวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานแสดงสินค้าจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ “งานจริง” ที่เปลี่ยนโอกาสให้กลายเป็นยอดขาย กลับเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่งานจบลงต่างหาก ดังนั้น ขั้นตอนหลังงานจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณต้องการประเมินผล และต่อยอดความสำเร็จจากการออกบูธให้ได้สูงสุด


1. ประเมินผลการเข้าร่วมงาน

หลังจากจบงาน ควรรีบประเมินทันทีว่าอะไรเวิร์ก และอะไรที่ควรปรับปรุง หาสินค้าที่ลูกค้าซื้อ ให้ความสนใจ หรือดูว่าเนื้อหา และสารที่คุณนำเสนอข้อไหนที่โดนใจลูกค้า การทบทวนนี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาเดิมในอนาคต และพัฒนาแนวทางให้ดียิ่งขึ้นในการจัดงานครั้งต่อไป

เมื่อคุณรวบรวมรายชื่อลูกค้าจากงานแล้ว อย่าลืมเชื่อมโยงลูกค้าเหล่านั้นกับใบกำกับภาษี (ว่าซื้ออะไรไปบ้าง) และเก็บข้อมูลให้ชัดว่าเป็นลูกค้าเก่าที่ซื้อซ้ำ หรือเป็นลูกค้าใหม่ที่เพิ่งซื้อครั้งแรกจากงานครั้งนี้ รวมถึงมีใครที่กลับมาซื้อซ้ำอีกหลังงานจบ หรือไม่ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้น พร้อมบอกใบ้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำ หรือกระตุ้นให้ลูกค้าใหม่ตัดสินใจซื้อครั้งแรก

คำนวณ ต้นทุนต่อหนึ่งลีด โดยนำค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานทั้งหมดมาหารด้วยจำนวนลีดที่ได้มา จากนั้นเทียบยอดขายที่ได้จากลีดในงานกับต้นทุนทั้งหมด (รวมค่าเดินทาง ค่าบูธ ฯลฯ) เพื่อประเมินว่าไปงานนี้แล้วคุ้มไหม และควรเข้าร่วมอีกไหมในปีหน้า


2. เชื่อมโยงลีดกับการซื้อจริง

จัดระเบียบลีดโดยจับคู่กับข้อมูลการสั่งซื้อ แยกว่าใครคือคนซื้อซ้ำ และใครคือคนที่ซื้อครั้งแรกหลังจากเจอที่งานนี้ สังเกตว่าใครที่กลายเป็นลูกค้าซื้อซ้ำภายหลังจากเข้าร่วมงาน วิเคราะห์ดูว่าอะไรที่จูงใจให้พวกเขาซื้อครั้งแรก และอะไรที่ทำให้พวกเขากลับมาซ้ำ

เมื่อปิดการขายเสร็จแล้ว ให้นำรายได้รวมที่ได้จากลีดทั้งหมดมาหารด้วยจำนวนลีดที่มี เพื่อคำนวณ “มูลค่าลีดเฉลี่ย” แล้วเปรียบเทียบกับลีดที่ได้จากช่องทางการตลาดอื่น เพื่อดูว่าลีดจากงานแสดงสินค้ามีคุณภาพหรือไม่ ถ้ามูลค่าสูงกว่าช่องทางอื่น แปลว่าอาจถึงเวลาที่คุณควรเพิ่มงบสำหรับงานแสดงสินค้าปีหน้า


3. จัดลำดับความสำคัญ และติดตามลีดอย่างเป็นระบบ

แน่นอนว่าเราอยากใส่ใจลีดทุกคนให้เท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริง คุณควร “จัดลำดับ” ลีดตามระดับความร้อนแรง เช่น ร้อน (Hot), อุ่น (Warm), เย็น (Cold) หรือดูจากพฤติกรรมว่าพวกเขาเข้าหาคุณเอง (Inbound) หรือมีส่วนร่วมกับแคมเปญการตลาดอื่นของคุณ หรือไม่

      • ลีดร้อน (Hot Leads): โทรหาทันที อย่ารอเขียนอีเมล เพราะพวกเขาแสดงความสนใจชัดเจนในงาน

      • ลีดอุ่น (Warm Leads): เริ่มด้วยการส่งอีเมลแบบเฉพาะบุคคล แล้วค่อยโทรติดตามภายหลัง

      • ลีดเย็น (Cold Leads): รอไว้เป็นกลุ่มตามแผนการตลาดระยะยาว

    ให้ส่งอีเมลติดตามภายใน 2 วันหลังจบงาน เพื่อความสดใหม่ที่สุด ใช้ข้อมูลที่คุณจำได้จากการพูดคุย เช่น เทรนด์ในอุตสาหกรรม หรือประเด็นเฉพาะที่เขาพูดถึง เพื่อให้เขาจำคุณได้ ลองแนบรูปภาพบูธของคุณเข้าไปในอีเมลเพื่อช่วยกระตุ้นความจำด้วย

    หากคุณไม่มีเวลาหรือข้อมูลมากพอ ให้ใช้ “เทมเพลตอีเมล” ที่คุณสามารถปรับแต่งได้ตามแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งควรมี:

        • ข้อมูลเกี่ยวกับงานที่เจอกัน

        • เนื้อหาหลักที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า

        • คำกระตุ้นให้ดำเนินการ (CTA)

      เพิ่มพลังให้อีเมลด้วยการแนบลิงก์ไปยัง หน้า Landing Page ที่มีรูปภาพ หรือวิดีโอสินค้า อย่าแค่ส่งข้อความ “ขอบคุณ” แบบทั่วไป แต่ให้เนื้อหามีประโยชน์ กระตุ้นให้เขาดำเนินการ เช่น คลิกชมสินค้า  หรือทำนัดหมาย


      4. แบ่งปันความเชี่ยวชาญผ่านคอนเทนต์และโซเชียลมีเดีย

      ใช้ประสบการณ์จากงานแสดงสินค้ามาสร้างคอนเทนต์เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญของคุณ เช่น:

          • บทความเชิงความรู้ (Thought Leadership)

          • บล็อก

          • วิดีโอ

        คอนเทนต์เหล่านี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เสริม SEO และเป็นเครื่องมือสำหรับแคมเปญการตลาดอื่นที่ช่วยให้ลีดเดินหน้าสู่การตัดสินใจ

        จัดให้ อีเมลและการโทรติดตาม กลายเป็น “มินิแคมเปญ” ที่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่แค่ติดต่อแบบสุ่มๆ และใช้คอนเทนต์จากงานแสดงสินค้าช่วยเสริมการติดตามผล

        อย่าลืมให้โซเชียลมีเดียของคุณเคลื่อนไหวอยู่ตลอด:

            • แชร์ภาพ หรือวิดีโอจากงาน

            • เล่าเรื่องราว หรือไฮไลต์ที่เกิดขึ้น

            • อัปเดตข่าวสารอุตสาหกรรม และความเคลื่อนไหวของบริษัท

          ทีมขายของคุณสามารถใช้โพสต์เหล่านี้เป็น “ตัวเปิดบทสนทนา” กับลีดได้อย่างดี หากคุณไม่สามารถส่งอีเมลแบบเฉพาะเจาะจงได้ในทุกกรณี ให้สร้างเทมเพลตอีเมลที่สามารถปรับใช้ได้ง่าย แต่ยังคงสื่อสารสาระสำคัญ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับงาน คำขอบคุณ และลิงก์ที่นำไปสู่การดำเนินการ


          5. สำรวจความคิดเห็นทีมหลังจบงาน

          หลังจบงานแสดงสินค้า ควรส่งแบบสอบถามให้ทีมงานทันที เพื่อเก็บฟีดแบ็กขณะความจำยังสดใหม่ ถามคำถามปลายเปิด เช่น:

              • อะไรที่เราทำได้ดี?

              • มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วเราจะหลีกเลี่ยงมันในครั้งหน้าได้อย่างไร?

              • ลูกค้าเป้าหมายที่ใช่ที่สุดที่เราได้พบคือใคร? และเราจะหาคนแบบนั้นเพิ่มได้ยังไง?

              • เราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคู่แข่งบ้าง?

            หากมีการใช้เอเจนซี หรือผู้ออกแบบบูธร่วมงานด้วย ควรรวมพวกเขาไว้ในแบบสอบถามด้วย การเก็บข้อมูลจากมุมมองที่หลากหลายจะช่วยให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์สำหรับงานในอนาคตได้อย่างรอบด้าน

            หากคุณนึกคำถามไม่ออก ลองใช้ไกด์ไลน์ หรือเทมเพลตสำหรับสร้างแบบสอบถาม เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่พลาดจุดสำคัญ


            การติดตามผลคือสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่าง

            อย่าเป็นบริษัทที่กลับจากงานอีเว้นส์ หรือการแสดงนิทรรศการอย่างเหนื่อยล้า แล้ว “ลืม” ติดตามลีด หรือทบทวนผลลัพธ์ที่ได้ งานแสดงสินค้าจะคุ้มค่าแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการติดตามผลหลังจากนั้น

            การประเมินผลลัพธ์ จัดลำดับลีด และปรับกลยุทธ์ใหม่ จะช่วยให้คุณดึงผลลัพธ์จากการลงทุนครั้งนี้ได้มากที่สุด

            ก้าวเข้าสู่ช่วงหลังจบงานด้วยความมั่นใจ และให้มั่นใจว่างานครั้งหน้าจะยิ่งดีกว่าเดิม!


            คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

            Q: หลังจบงานแสดงสินค้าควรทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก?
            A: ประเมินผลทันทีว่าอะไรเวิร์ก และมีอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงในครั้งต่อไป พร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า และประสิทธิภาพของข้อความการตลาดที่สื่อสารออกไป

            Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือลูกค้าเก่า หรือใหม่จากลีดที่ได้ในงาน?
            A: เชื่อมโยงข้อมูลลูกค้ากับใบแจ้งหนี้ และจดว่าเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ เพื่อวิเคราะห์ว่างานนี้ดึงดูดลูกค้าใหม่ได้มากน้อยแค่ไหน และช่วยให้เกิดการซื้อซ้ำหรือไม่

            Q: วิธีคำนวณต้นทุนต่อลีดทำอย่างไร?
            A: นำค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้จัดแสดงบูธ หารด้วยจำนวนลีดที่ได้จากงาน

            Q: วิธีคำนวณ ROI จากงานแสดงสินค้าคืออะไร?
            A: รวมยอดขายที่เกิดขึ้นโดยตรงจากงาน แล้วเปรียบเทียบกับต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าเช่าพื้นที่บูธ ฯลฯ

            Q: จะตัดสินใจเลือกงานแสดงสินค้าในอนาคตได้อย่างไร?
            A: ประเมินว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณเข้าร่วมงานมากน้อยแค่ไหน แล้วเชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ เพื่อวัดความคุ้มค่า และความเหมาะสมของการเข้าร่วมในแต่ละงาน

            Q: ควรส่งอีเมลติดตามผลหลังงานแสดงสินค้าภายในกี่วัน?
            A: ควรส่งภายใน 2 วันหลังจบงาน เพื่อเพิ่มโอกาสที่ลีดจะยังจำคุณได้ และควรปรับเนื้อหาให้เฉพาะบุคคล เช่น อ้างอิงบทสนทนา หรือแนบรูปภาพบูธของคุณ

            Q: จะสร้างความน่าเชื่อถือในฐานะผู้เชี่ยวชาญหลังจบงานได้อย่างไร?
            A: สร้างคอนเทนต์คุณภาพ เช่น บทความ หรือวิดีโอ ที่เกี่ยวข้องกับงานแสดงสินค้า เพื่อเสริมภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำทางความคิด เพิ่มประสิทธิภาพ SEO และสนับสนุนแคมเปญการตลาด

            Q: ควรมีคำถามอะไรบ้างในแบบสอบถามทีมหลังงานจบ?
            A: ใช้คำถามปลายเปิดเพื่อประเมินว่าอะไรได้ผลดี อะไรควรปรับปรุง โปรไฟล์ของลีดที่ใช่ที่สุด วิธีดึงดูดลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น พฤติกรรมผู้เข้าชมบูธ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคู่แข่ง และให้ทีมช่วยระบุข้อดีข้อเสีย 3 ข้อหลักของการเข้าร่วมงานครั้งนี้


            สรุป

            บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะไม่หยุดแค่จบงาน แต่จะเดินหน้าติดตามผล ประเมินข้อมูล และปรับกลยุทธ์ เพื่อให้การลงทุนในงานแสดงสินค้าคุ้มค่าที่สุด ก้าวต่อด้วยความมั่นใจ แล้วเตรียมพร้อมให้งานครั้งหน้าดีกว่าเดิม!

            หากต้องการคำปรึกษาติดต่อเรา MEGA PRODUCTIONS ได้เลย! เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบบูธ และงานแสดงสินค้า ด้วยทีมงานมืออาชีพ มีความชำนาญ และใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด พร้อมให้บริการทั่วประเทศ และดูแลลูกค้าทุกขั้นตอนจนจบงานให้เรียบร้อย “เพราะความสำเร็จของคุณ คือความสำเร็จของเราเช่นกัน”

            สนใจติดต่อมาได้ที่ 092-293-9456 หรือ 063-936-2446

            #Booth Design #Booth Exhibition

            Leave a comment

            Your email address will not be published. Required fields are marked *